ยาหมดอายุดูยังไง เป็นอันตรายหรือไม่
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การ เภสัชกรรม (อภ.) แนะวิธีการดูวันหมดอายุของยาว่า เป็นที่คาดว่าตัวยาสำคัญ ที่ใช้ในการรักษาโรค ของยานั้นๆ เหลือปริมาณน้อยกว่า ร้อยละ 90 ของปริมาณที่กำหนด ในสูตรตำรับนั้นๆ ดังนั้นเพื่อประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการใช้ยา ควรสังเกตว่า ยาต่างๆ ที่ได้รับนั้น หมดอายุหรือยัง เนื่องจาก หากใช้ยาที่หมดอายุ หรือ เสื่อมคุณภาพลง นอกจากจะไม่มีผลในการรักษาแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
การสังเกตวันหมดอายุของยา เป็นหลักการเดียวกันกับอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน ที่เราคุ้นเคย โดยทั่วไป การกำหนดวันหมดอายุ จะขึ้นอยู่กับ ประเภทของยา เช่น ยาเม็ดจะไม่เกิน 5 ปี ส่วนยาน้ำ 2-3 ปี นับจากวันผลิต อย่างไรก็ตาม การกำหนดอายุยา อาจแตกต่างไปจากนี้ได้ โดยผู้ผลิต จะพิจารณาจากสารเคมีที่ใช้ ข้อมูลการทดสอบความคงตัว หรือส่วนประกอบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบริษัท
ซึ่งจะพบวันผลิต manufacturing date หรือ mfd.date และ วันหมดอายุ exp.date, exp, expiring, use by หรือ use before บางครั้งก็อาจใช้คำว่า ยาสิ้นอายุ สามารถดูข้อมูลเหล่านี้ จากกล่องบรรจุ ฉลากยา หรือบนแผงยา ตำแหน่งมักเป็นบริเวณ บนแผงยา ด้านใต้กล่อง หรือ ด้านล่างฉลากของยานั้นๆ
สำหรับการอ่านวันหมดอายุแบบไทยๆ จะเริ่มจากวัน เดือน ปี อาจจะ พ.ศ. หรือ ค.ศ. ก็ได้ แต่ถ้ามีเฉพาะเดือน และ ปี ให้นับวันสุดท้ายของเดือนนั้นๆ เป็นวันหมดอายุ เช่น exp. date 27/2/2555 หมายถึง วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 หรือ exp. date 17.2.13 หมายถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2013 หรือ exp.04/14 หมายถึงวันที่ 30 เดือนเมษายน ค.ศ.2014 เป็นต้น
ส่วนยาที่แบ่งบรรจุ หรือ ยาที่เปิดใช้แล้ว หากมีการเปิดใช้ หรือ นำยามาแบ่งจากภาชนะเดิม เช่น ยานับเม็ด หรือ ครีมที่ป้ายมาจากกระปุกใหญ่ ยาน้ำในขวดพลาสติก จะส่งผลให้วันหมดอายุของยาเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่วันหมดอายุที่กำหนดโดยบริษัทผู้ผลิต ซึ่งวันหมดอายุของยาเหล่านี้จะต้องกำหนดวันหมดอายุขึ้นใหม่ โดยนับจากวันที่แบ่งบรรจุ 1 ปี ซึ่งถ้าได้รับจากสถานพยาบาล ก็จะมีการระบุไว้เช่นกัน ดังนั้นหากเหลือยาเก็บไว้ที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะหมดอายุเมื่อไร ไม่มีการเขียนไว้ ก็อาจพิจารณาจากวันที่บนฉลากยา หรือ ซองที่ระบุวันที่ที่ได้รับมา หากยาเม็ดเกิน 1 ปี หรือยาน้ำเกิน 6 เดือน ก็ให้ทิ้งไปไม่ควรนำใช้ต่อ
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าแม้ไม่ถึง 1 ปี หรือ ก่อนกำหนดเวลา แต่ยาเสื่อมสภาพ เม็ดยากร่อน ร่อน ยาน้ำสีเปลี่ยน มีกลิ่นผิดไป เหม็น เขย่าไม่เข้ากันเป็นเนื้อเดียว หรือ ครีมแยกชั้นควรทิ้งโดยแยกใส่ถังขยะอันตรายเท่านั้น
อีกกรณีหนึ่ง คือ ยาเหลือใช้ที่มีอยู่ในครัวเรือนไม่ว่าจะเป็นยาที่แพทย์จ่ายหรือ ยาที่ซื้อจากร้านขายยาแล้ว ยาที่ผู้ป่วยไม่ได้ใช้ ตามที่แพทย์สั่ง ยาที่ใช้สำหรับรักษาตามอาการ แต่ปัจจุบันไม่มีอาการดังกล่าว เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือ เป็นยาที่ได้มาซ้ำซ้อน ไม่ควรใช้ยาดังกล่าวกับบุคคลในครอบครัว หรือ ผู้อื่น แม้จะมีอาการคล้ายกับที่เราเคยป่วย แต่อาการของผู้ป่วย จะมีอาการคล้ายกับที่เราเคยป่วย แต่อาการของโรคอายุของผู้ป่วย การแพ้ยาของแต่ละคน จะแตกต่างไม่เหมือนกัน อาจส่งผลร้ายในการใช้ยา ดังนั้น ควรปรึกษาเภสัชกรประจำร้านยา หรือพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคจะเกิดผลดีต่อการรักษาอาการ
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เราไม่ควรทานยา ที่หมดอายุ หรือ เสื่อมสภาพ เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเราเองได้
ขอบคุณภาพ และ ข้อมูลจาก : Clubคนรักสุขภาพ